Pada masa dahulu, semenanjung Tanah Melayu turut meliputi wilayah Segenting Kra yang kini termasuk di dalam wilayah Negara Thai dan Myanmar. Penduduk di Negeri Patani bertutur dalam Bahasa Melayu dialek Kelantan (Yawi) sementara penduduk Melayu daripada wilayah Setul hinggalah ke Rundung dan Pulau Dua (Kawthoung) di dalam wilayah Myanmar pada hari ini bertutur dalam Bahasa Melayu dialek Kedah.

Penduduk Melayu di kawasan ini bukanlah pendatang, sebaliknya merupakan kaum pribumi yang telah menduduki kawasan ini sejak zaman berzaman, iaitu warisan daripada Kerajaan Srivijaya dan Langkasuka.

Binaan di Rundung (Ranong) yang menjelaskan sempadan sebenar bumi Melayu dan Siam, Selepas kejatuhan Kerajaan Siam yang berpusat di Ayuthia pada tahun 1767 akibat serangan Burma, telah bangkit satu kuasa Thai iaitu Kerajaan Thonburi di bawah pemerintahan Raja Taksin. Raja Taksin ini telah menyerang Kerajaan-kerajaan Melayu di Negeri Ligor, Cahaya, Rundung, Terang, Ghraibi, Bukit, Bedalung dan Singgora. Negeri Patani terselamat daripada serangan tersebut. Walaubagaimanapun, benteng terakhir negeri Melayu ini kemudiannya berhadapan dengan serangan demi serangan daripada pihak Thai.

Anglo-Siamese Treaty, 1909, yang dibuat antara British dengan pihak Thailand telah memisahkan sama sekali semenanjung Tanah Melayu kepada dua bahagian. Perjanjian ini dibuat tanpa melibatkan perbincangan dengan Raja-raja Melayu di negeri-negeri yang berkenaan. Wilayah-wilayah milik Melayu daripada Patani, Singgora, Setul hinggalah ke segenting Kra telah diakui British sebagai hak milik Thai.

nama-nama tempat yang berbaur Melayu di kawasan segenting Kra juga telah diubah kepada sebutan dalam Bahasa Thai. Di bawah ini dinyatakan kembali nama sebenar antara sebahagian kawasan-kawasan di bahagian selatan Siam dalam Bahasa Melayu yang telah di’Thai’kan untuk peringatan dan rujukan kita semua serta generasi akan datang khasnya.

Phuket (Bukit). Nama lain ialah Tongkah.
Thalang (Tanjung Salang)

Yala (Jala)
Betong (Betung)
Bannang Sata (Benang Setar)
Raman (Reman)
Kabang (Kabae / Kabe)
Krong Pinang (Kampung Pinang)

Narathiwat (Menara)
Tak Bai (Tabal)
Rueso (Rusa)
Su-ngai Kolok (Sungai Golok)
Su-ngai Padi (Sungai Padi)
Tanyongmat (Tanjung Mas)
Buketa (Bukit Tar)



Pattani (Pantai Ini)
Sai Buri (Selindung Bayu @ Teluban)
Yaring (Jaring)
Krue Sae (Gersik)
Panare (Penarik)
Yarang (Jarang @ Binjai Lima)

Songkhla (Singgora) bermaksud ‘Bandar Singa’
Chana (Chenok)
Na Thawi (Nawi)
Thepha (Tiba)
Saba Yoi (Sebayu)
Ranot (Renut)
Sadao (Sendawa)
Samila Beach (Pantai Bismillah)

Satun (Setul)
Khuan Don (Dusun)

Phang Nga (Pungah). Ada sumber lain mengatakan daripada nama 'Kuala Bunga'.
Ko Similan (Pulau Sembilan)
Ko Panyee (Pulau Panji)
Ko Phi Phi (Pulau Pi Ah Pi)
Takua Pa (Kupa)

Phattalung (Bedalong / Merdelong)

Trang (Terang)

Ranong (Rundung)

Krabi (Ghraibi)

Chaiya (Cahaya)

Nakhon Si Thammarat (Nagara Sri Dharmaraja / Bandar Sri Raja Dharma). Nama lama bagi negeri ini ialah ‘Tambralingga / Ligor’.

Tenasserim (Tanah Seri). Di dalam wilayah negara Myanmar (Burma) pada hari ini. Malaysia pada hari ini sebenarnya hanya mewarisi separuh daripada wilayah asal semenanjung Tanah Melayu. 

WWW.IKHWAN MUSLIMIN.COM


Pada masa lalu di daerah Kalimantan Barat ternyata terdapat cukup banyak Kesultanan Melayu yang berjaya. Beberapa kesultanan Melayu yang besar adalah Kesultanan Kadriah Pontianak, Kesultanan Sambas, Kesultanan Sintang, Kesultanan Matan Tanjung Pura, Kesultanan Mempawah, Kesultanan Ismahayana Landak, Kesultanan Sangau, Kesultanan Kubu, dan Kesultanan Sekadau. Kesultanan-kesultanan tersebut masih meninggalkan jejak-jejak sejarah hingga saat ini berupa bangunan Keraton/Istana. Umumnya tak jauh dari keraton-keraton/Istana tersebut terdapat masjid jamek.

Melihat Keraton/Istana Melayu di Kota Pontianak adalah bersama Tugu Khatulistiwa yang berada tidak berapa jauh dari lokasi. Di sebelah kompleks Keraton/Istana Kadriah Pontianak ini terdapat Masjid Jamik Sultan Syarif Abdurrahman.

Untuk melihat keraton atau Istana Alwatzikhoebillah beserta Masjid Jamik di Kota Sambas, hanya 5 minit dari Kota Pontianak dan melewati Kota Singkawang.

Istana/ Keraton Al Muharramah di Kota Sintang pula terletak 7-8 jam dari Pontianak. Kota Sintang dan Sambas ini berlawanan arah dari kota Pontianak. Sedangkan untuk melihat Istana/Keraton Panembahan dari Kerajaan Matan adalah jauh sedikit dari Pontianak.

Warna kuning mendominasi bangunan Istana/keraton-keraton tersebut, sama seperti nuansa Melayu di Riau atau semenanjung Tanah melayu sendiri, Di samping bangunan Istana/keraton sisa-sisa kejayaan Kesultanan Melayu di Kalimantan Barat, terdapat pula bangunan seperti Istana/Keraton peninggalan Kesultanan Matan Tanjung Pura yang dibangun oleh keluarga tokoh masyarakat di Ketapang. Bangunan tersebut berdiri masih megah di tepian Sungai Pawan.
http://www.facebook.com/photo.php?fbid=514914121908949&set=a.151182671615431.38068.146299788770386&type=1&permPage=1

wahai saudara-saudari ayo ! siapa yang ada pendera thailand diharabkan bakar karena itu bukan bendera kita. itu adalah bendera negara kafir harbi. 
 ทหารพรานปิดล้อมตรวจค้นบ้านต้องสงสัย ในพื้นที่ .จวบ .เจาะไอร้อง .นราธิวาส จนเกิดการปะทะกับอาร์เคเคที่ลักลอบมาพบเมีย ผลอาร์เคเคดับ 1 ศพ ทหารพรานพลีชีพ 1 นาย และบาดเจ็บอีก 1 นาย...
เมื่อเวลา 01.00 . วันที่ 23 .. 56 มีรายงานว่า ..อิศรา จันทะกระยอม รอง ผบ.กรมทหารพรานที่ 48 นำกำลัง 40 นาย ใช้กฎอัยการศึกบุกจู่โจมตรวจค้นบ้านเลขที่ 274/7 บ้านไอร์ปาแย หมู่ 8 .จวบ .เจาะไอร้อง .นราธิวาส หลังสืบทราบว่า นายแมโซ เจ๊ะเลาะ อายุ 42 ปี แนวร่วมอาร์เคเค พร้อมพวก ลักลอบมาจากมาเลเซียเพื่อพบภรรยา โดยเจ้าหน้าที่แสดงตัวขอตรวจค้น นายแมโซและพวกในบ้านกลับใช้ปืนสงครามยิงใส่ จนเกิดการยิงปะทะกันเป็นระลอกๆ นาน 10 นาที ก่อนหลบหนีไปหน้ากูโบร์บ้านไอร์ปาแย เจ้าหน้าที่จึงไล่ติดตามและเกิดปะทะกันอีกระลอกสิ้นสุดการยิงปะทะ ตรวจสอบพบว่า อส.ทพ.โยธิน พรหมช่วย อายุ 23 ปี สังกัด ร้อย ทพ.4804 กรมทหารพรานที่ 48 เสียชีวิต ส่วน ..สินชัย สุขมี อายุ 31 ปี สังกัดเดียวกัน ถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนคนร้ายเสียชีวิต 1 ราย คือ นายแมโซ มีบาดแผลและมีปืนอาก้าอยู่ข้างศพ 1 กระบอก ขณะที่แนวร่วมอาร์เคเคที่เหลือสามารถหลบหนีไปได้ นอกจากนี้ มีรายงานเพิ่มเติมว่า หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ได้ปูพรมตรวจค้นพื้นที่โดยรอบ 300 เมตร จนสามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย 2 คน คือ 1. นายดาโอ๊ะ สาและ อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 274/9 หมู่ 8 .จวบ .เจาะไอร้อง .นราธิวาส และ 2. นายยากี เวาะงอย อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 328/5 หมู่ 8 .จวบ .เจาะไอร้อง .นราธิวาส พร้อมนำตัวไปสอบสวนต่อไป.

โจรใต้กราดยิงร้านชำปัตตานี ชาวบ้านดับ6รวมด.ช.5ขวบ


             คนร้ายขี่จักรยานยนต์ 2 คัน กราดยิงใส่ชาวบ้าน หน้าร้านขายของชำปัตตานี ก่อนโรยตะปูเรือใบทั่วอำเภอเมืองเพื่อหลบหนี ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 6 ราย รวมเด็กชายวัย 5 ขวบด้วย ขณะที่เจ้าหน้าที่รีบนำผู้บาดเจ็บสาหัสอีก 1 คน ส่งโรงพยาบาลเป็นการเร่งด่วน พร้อมตัดสัญญาณโทรศัพท์ป้องกันเหตุต่อเนื่อง...
          เมื่อเวลา 20.15 . วันที่ 1 .. 56 มีรายงานว่าเกิดเหตุคนร้ายจำนวน 4 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ 2 คัน ใช้อาวุธสงครามปืนเอ็ม 16 และชนิดอื่นๆ กราดยิงใส่กลุ่มประชาชนบริเวณหน้าร้านขายของชำ เลขที่ 17/12 หมู่ 5 ถนนพูลสวัสดิ์ .รูสะมิแล .เมือง .ปัตตานี เบื้องต้นมีผู้เสียชีวิต 6 ราย โดยมีเด็กชายอายุเพียง 5 ขวบรวมอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังพบผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก 1 ราย ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลปัตตานีแล้ว จากนั้นคนร้ายได้โรยตะปูเรือใบบนถนนสายหลักๆ ซึ่งเป็นเส้นทางเข้าออกอำเภอเมือง เพื่อหวังไม่ให้เจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมได้ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าวยังที่เกิดเหตุแล้ว พร้อมทั้งตัดสัญญาณโทรศัพท์ เพื่อป้องกันไม่ให้คนร้ายก่อเหตุรุนแรงได้ต่อเนื่อง ล่าสุดมีรายงานรายชื่อผู้เสียชีวิตทั้ง 6 รายแล้ว ประกอบด้วย 1. นายวิเชียร เฉลิมกิติภัย 2. นายโกศลพันธ์ สืบน้อย 3. นายสมพร พงศ์พันธุ์วิริยา 4. นายสมาน เอียงมา 5. นายมะรูดี การี และ 6. เด็กชายจักรินทร์ เอียงมา ส่วนผู้บาดเจ็บทราบชื่อ คือ นายอดุลย์ ดวงแก้ว.


ยะลาเข้มรถต้องสงสัย หลังข่าวแจ้งเตือนเตรียมก่อเหตุ



ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยะลา สั่งคุมเข้มพื้นที่จับตารถยนต์เป้าหมาย หลังมีข่าวแจ้งเตือนผู้ก่อเหตุรุนแรง เตรียมเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐ...
           
วันที่ 1 .. 56  พล...พีระ บุญเลี้ยง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยะลา ได้วิทยุสั่งการไปยังสถานีตำรวจในพื้นที่ ให้เจ้าหน้าที่ตั้งด่านตรวจเข้มเฝ้าระวังจับตารถยนต์เป้าหมาย หลังมีข่าวแจ้งเตือนว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุความรุนแรงได้มีการเคลื่อนไหว และประกอบระเบิดในรถกระบะมิตซูบิชิ สีดำ สีประตู เตรียมนำมาก่อเหตุในพื้นที่เขตเทศบาลนครยะลา เพื่อตอบโต้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ หลังเจ้าหน้าที่เข้าปิดล้อมตรวจค้นในหลายจุด และสามารถควบคุมตัวผู้ก่อเหตุได้หลายราย รวมถึงวิสามัญฯ คนร้ายในพื้นที่ได้ 3 ศพ เมื่อวันก่อน จึงคาดว่ากลุ่มคนร้ายเตรียมตอบโต้ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ มีรายงานว่า ในวันนี้ ทางคณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร จะเดินทางมาเยี่ยมผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา พร้อมมอบเงินกองทุนช่วยเหลือแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว ก่อนเดินทางไปยังศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อดูงานแนวทางแก้ไขปัญหาภาคใต้ต่อไป.



"มาร์ค" แนะรัฐ 3 ข้อ แก้เกม "บีอาร์เอ็น" เห็นด้วยพักเจรจา ตั้งกติการ่วมฯ ย้ำ สถานะแค่กลุ่มขอเจรจาต่อรัฐ ลั่น เตือนแล้วไม่ฟัง ไทยเลยกลายเป็นฝ่ายที่ถูกผูกมัดฝ่ายเดียว


'อภิสิทธิ์'แนะรัฐ 3 ข้อ แก้เกม'บีอาร์เอ็น'บีบ
วันที่ 29 เม.. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่บุคคลที่อ้างเป็นตัวแทน "บีอาร์เอ็น" ได้ยื่นเงื่อนไข 5 ข้อต่อรัฐบาลไทยว่า รู้สึกหนักใจ เพราะการแสดงออกของกลุ่มบีอาร์เอ็น จะทำให้รัฐบาลอยู่ในฐานะที่ลำบาก คือ 1. มีการใช้ภาษาเหมือนกับรัฐบาล เป็นฝ่ายที่ทำผิด ซึ่งไม่เหมาะสม ซึ่งตนไม่เข้าใจว่า ทำไมในการลงนามพูดคุยไม่กำหนดให้ชัดว่าแต่ละฝ่ายต้องปฏิบัติอย่างไร 2. ข้อเรียกร้องที่จะดึงมาเลเซียจากผู้อำนวยความสะดวกมาเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ย และดึงองค์กรระหว่างประเทศมาเป็นคนกลาง จะทำให้เป็นปัญหาลุกลามมากยิ่งขึ้น และ 3.จะมีการใช้สถานการณ์ในพื้นที่มาเป็นเครื่องมือกดดันรัฐบาลมากขึ้น ดังนั้น รัฐบาลต้องกำหนดยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนว่าจะรับมืออย่างไร โดยต้องกำหนดกฎกติกาให้ชัด ไม่ใช่ปล่อยให้บีอาร์เอ็นรุกคืบ เพิ่มข้อเรียกร้องเรื่อยๆ ในขณะที่รัฐบาลปฏิบัติลำบาก ในแง่เจ้าหน้าที่ในพื้นที่และกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนด้วย
          นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนเคยเตือนแล้วว่า ในการลงนามครั้งแรกที่แสดงเจตนารมณ์ในการพูดคุยสันติภาพภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญนั้น ข้อความที่ไปลงนามก็ผูกมัดรัฐบาลไทยฝ่ายเดียว แต่บีอาร์เอ็น ไม่ได้แสดงเจตนารมณ์ใดๆ ในเรื่องนี้ด้วย รัฐบาลจึงต้องแก้ไขสถานการณ์นี้ ไม่เช่นนั้นจะถูกกดดันกลายเป็นฝ่ายตั้งรับ จนไม่มีอำนาจต่อรองในการเจรจาพูดคุย

          ซึ่งทุกฝ่ายก็แสดงความห่วงใยและเตือนมาแล้วว่า สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำอยู่จะเข้าทางบีอาร์เอ็น ซึ่งใช้วิธีการเดินคู่ขนาน ด้านหนึ่งเจรจา แต่อีกด้านก็จะเคลื่อนไหวในพื้นที่ แต่รัฐบาลยังขาดการกำหนดแนวทางที่รอบคอบและชัดเจนแต่ต้น ซึ่งรูปแบบการพูดคุยตนก็ไม่เห็นด้วยแต่แรก เพราะความจริงควรมีการตกลงรายละเอียดให้ได้ข้อสรุปก่อนจึงค่อยเปิดเผย แต่รัฐบาลนี้กลับเลือกที่จะใช้รูปแบบนี้ ด้วยเหตุผลทางการเมืองและการตลาด สุดท้ายก็ทำให้ทำงานยากลำบากมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ภาระหนักจึงไปอยู่ที่ เลขาฯ ศอ.บต. และเลขาฯ สมช.รวมถึงนายกฯ ว่า จะตัดสินใจกำหนดแนวทางอย่างไร โดยไม่ปล่อยให้สถานการณ์ไหลไปตามแนวทางของบีอาร์เอ็นเพียงฝ่ายเดียว
         
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า กลุ่มบีอาร์เอ็นพยายามที่จะยกระดับของปัญหาขึ้นไปสู่เวทีนานาชาติ โดยดำเนินการทั้งกดดันในพื้นที่หวังให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น ทำให้รัฐบาลไทยปฏิบัติยาก หากตอบโต้แรงก็จะเป็นเหยื่อการยั่วยุ แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย ก็กระทบความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งทั้งหมดนำไปสู่การกดดันในเรื่องการเจรจามากขึ้น เพราะหากบีอาร์เอ็นมีความจริงใจจริงก็ต้องคุยภายใน ไม่ใช่ลากคนนอก คนอื่นเข้ามา รัฐบาลต้องตั้งหลักใหม่ ไม่เช่นนั้นปัญหาจะลุกลามบานปลายไปใหญ่ส่วนกรณีที่เลขาฯ สมช.ระบุว่า หากการพูดคุยมีปัญหา อาจจะมีการหยุดพักการเจรจานั้นก็ถือเป็นดุลยพินิจของรัฐบาล ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะต้องคุยให้ชัดเจนเพื่อมีกติการ่วมกัน เพราะหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้จะไม่มีผลดีกับใครเลย และอยากให้รัฐบาลนี้เรียนรู้จากปัญหานี้ว่า การแก้ไขสถานการณ์ภาคใต้มีความละเอียดออ่น ต้องทำด้วยความรอบคอบ และเตรียมความพร้อมให้ทุกอย่างสอดรับกัน เมื่อถามว่าการพูดคุยครั้งที่ 3 นี้ เมื่อเทียบกับผลที่ออกมาคุ้มค่ากับการที่รัฐนำชีวิตของประชาชนไปเสี่ยงหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนย้ำแต่ต้นว่าไม่อยากให้ทำในรูปแบบนี้ แต่เมื่อรัฐบาลตัดสินใจไปแล้วก็ต้องเดินให้ได้ โดยตั้งหลักว่าเมื่อเขารุกคืบอย่างนี้จะจัดการอย่างไร ซึ่งต้องยืนยันว่า จะไม่ทำอะไรนอกกรอบที่ลงนามไปแล้ว และเรายอมรับ "บีอาร์เอ็น" เป็นแค่กลุ่มที่มาขอพูดคุยกับรัฐบาลเท่านั้น